White soul ตำนานรักวิญญาญสีขาว - White soul ตำนานรักวิญญาญสีขาว นิยาย White soul ตำนานรักวิญญาญสีขาว : Dek-D.com - Writer

    White soul ตำนานรักวิญญาญสีขาว

    เรื่องราวความรัก ที่จบแบบไม่สวยงามนัก

    ผู้เข้าชมรวม

    967

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    967

    ความคิดเห็น


    10

    คนติดตาม


    2
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  6 เม.ย. 52 / 13:34 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น


    สำหรับผู้ที่เข้ามาทั้งตั้งใจและหลงเข้ามา

    ขอให้ลองอ่านมันดูสักครั้ง

    ขอบอกไว้ก่อนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นจริง ๆ

    และก็จบแบบไม่ค่อยสวยงามนัก

    สำหรับคนที่ชอบเรื่องที่จบแบบ happy ending

    ก็ให้ลองอ่านมันดูก่อน

    ไม่รับประกันว่าคุณจะชอบมัน

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
                              
                         สายลมเย็นเฉียบพัดผ่านความมืดยามรัตติกาล รอบบริเวณมีแต่ความมืดมิด ไร้สิ้นซึ่งสรรพเสียงใด ๆใบไม้เอนไหวตามแรงลมที่พัดผ่านมา เสียงใบไม้เสียดสีกันชวนให้รู้สึกขนลุก ยังเหมือนมีบางสิ่งที่อาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้อีก

                         เงาหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงม้านั่งตัวยาวใต้ต้นไม้ใหญ่  เงาต้นไม้ทาบลงบนหน้าเธอทำให้มองเห็นใบหน้าได้ไม่ชัดนัก  เธอนั่งอยู่ที่นี่มาร่วม 3 ชั่วโมงแล้ว  ไม่รู้ว่าตอนนี้เวลาเท่าไหร่และเธอก็ไม่ได้สนในด้วย
                         ไม่รู้อะไรดลใจให้เธอมาที่นี่และนั่งอยู่อย่างนี้ไม่คิดจะลุกไปไหน  เธอนั่งเหม่อมองไปอย่างไร้จุดหมาย  เหมือนกำลังรอใครหรือรออะไรบางอย่าง ในสวนสาธารณะที่มีแต่ความเงียบและมืดมิดแห่งนี้

                         'เอี๊ยด... เอี๊ยด...' เสียงโซ่ชิงช้าเสียดสีกับคานของมันดังขึ้นในความเงียบ หญิงสาวเงยหน้ามองมัน ครั้งแรกคิดว่าเป็นเพราะลมพัด  แต่พอมองจริง ๆ มันกลับมีชิงช้าเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่แกว่งอยู่  ใบหน้าของเธอไม่ปรากฏร่องรอยของความหวาดกลัวเลยสักนิด  ร่างบางลุกขึ้นยืน ย่างเท้าเปลือยเปล่าเข้าไปหาชิงช้าตัวนั้น ชุดกระโปรงสีขางบาง ๆ พริ้วไหวตามแรงขยับของเธอ  เสียงของชิงช้าราวกับร่ำเรียกให้เธอเข้าไปหามัน ไม่นานร่างของเธอก็มาหยุดอยู่หน้าชิงช้าตัวนั้น
                         ร่างบางทิ้งกายลงนั่นชิงช้าตัวที่กำลังแกว่งอยู่ แล้วไกวมันเบา ๆ  เหม่อมองออกไปไกลอย่างไร้จุดหมาย จมอยู่กับความคิดของตัวเองอีกครั้ง
                         
                         "ริเอะ" เสียงเรียกแผ่วเบาดังมาจากข้างกาย เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบสายตาของเด็กหนุ่มจ้องมองกลับมา
                         
                         "วาตารุ มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง" ร่างบางเอ่ยถามเสียงแผ่ว

                         "ผมต่างหากที่ควรจะถาม ดึกป่านนี้แล้วริเอะมาทำอะไรที่นี่" เด็กหนุ่มชื่อวาตารุทิ้งตัวลงนั่งชิงช้าตัวข้าง ๆ

                         "ไม่รู้สิ แค่รู้สึกว่าต้องมาก็เลยมา" เธอตอบ ไม่มองหน้าเขา

                         เด็กหนุ่มเอื้อมมือมาวางลงบนมือเธอเบา ๆ  เธอไม่รู้สึก ไม่รู้สึกถึงสัมผัสของเขาเลย เขาเองก็เหมือนกัน  ไม่รู้สึกถึงหญิงสาวข้างกาย

                         ตลอดคืนนั้นไม่มีใครพูดอะไรอีกเลย  ทั้งคู่นั่งไกวชิงช้าปล่อยให้ความเงียบดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ  ปล่อยตัวเองให้จมไปกับห้วงความคิดของตัวเอง  จนกระทั่งรุ่งอรุณได้มาเยือน

                        "อา.. ผมคงต้องไปแล้วล่ะ ความจริงอยากจะอยู่ต่ออีกหน่อยแต่คงไม่ได้" วาตารุลุกจากชิงช้าหันมามองริเอะ

                        "จะไปแล้วเหรอ" ริเอะถามอย่างไม่ต้องการคำตอบเพราะรู้ดีว่าเขาจะตอบว่าอะไร

                        "อืม  คืนนี้ริเอะมาที่นี่อีกนะ  แล้วผมจะมาหา" วาตารุยิ้มให้แล้วหันหลังเดินออกไปจากสวนสาธารณะ

                        ริเอะมองตามแผ่นหลังของเขาจนลับสายตา

                        ช่วงกลางวันที่สวนสาธารณะแห่งนี้จะมีคนมาค่อยข้างมาก  ริเอะกลับไปนั่งที่มานั่งตัวเดิม ไม่คิดจะลุกไปไหน  น่าแปลกที่ม้านั่งตัวที่เธอนั่งออกจะยาวและมีที่นั่งเหลือพอที่จะนั่งได้อีกสักคนสองคน  แต่กลับไม่มีใครมานั่งข้างเธอเลยสักคน  อาจเพราะเธอดูแปลก ๆ หรืออาจเพราะเหตุผลอื่น
                        ไม่ว่าจะเป็นอะไรเธอก็ไม่ได้คิดจะใส่ใจ เธอเพียงแค่รอเวลาให้กลางคืนมาถึงเสียที

                        ในที่สุดตะวันก็ลับของฟ้า ราตรีกาลมาเยือนอีกครั้ง  หญิงสาวยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เธอรอเขาอยู่.. เวลาล่วงเลยมานานมากแล้วแต่เขาก็ยังไม่มาให้เธอเห็น ในใจเธอยังคงคิดว่าเขาจะมาหาเธอไหม

                        "ริเอะ ริเอะอยู่ไหม ?" ในที่สุดร่างคนที่เธอรอก็มาปรากฏแก่สายตา เขาเดินวนแถว ๆ ชิงช้าตัวที่เธอนั่งเมื่อคืนวาน เธอลุกขึ้นวิ่งเหยาะ ๆ ไปหาเขา

                        "นึกว่าไม่อยู่ซะอีก" วาตารุยิ้มให้เมื่อเห็นเธอ ริเอะนึกสงสัยกับคำที่เขาพูด  'ทำไมเขาถึงบอกว่า นึกว่าไม่อยู่  แทนที่จะเป็นนึกว่าไม่มาเล่า' เธอได้แต่คิดในใจ

                        "นั่งก่อนสิ" เขาทิ้งตัวนั่งลงตรงชิงช้าตัวเดิม เธอจึงนั่งบ้าง

                        วาตารุนั่งก้มหน้าคล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่าง 

                        "ขอโทดษนะริเอะ ขอโทษที่ช่วยเธอไม่ได้" วาตารุเอ่ยน้ำเสียงสั่นเครือ เพราะเขาก้มหน้าอยู่เธอจึงมองไม่ถนัด

                        "ช่วย ? ช่วยอะไร" หญิงสาวเอียงคอมองอย่างสงสัย

                        "ถ้าวันนั้นผมไม่ปล่อยให้เธอออกมาที่นี่คนเดียวเรื่องมันก็คงไม่เป็นแบบนี้" เด็กหนุ่มยังคงพูดในสิ่งที่เธอไม่เข้าใจ

                        "พูดถึงอะไร ?  ช่วยบอกให้ชัดเจนทีเถอะ" ริเอะขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจ

                        "ริเอะใจเย็น ๆ  แล้วตั้งใจฟังผมพูดนะ" วาตารุมองเข้ามาในดวงตาของเธอ ด้วยสายตาที่เหมือนไม่แน่ใจว่าจะบอกดีไหม

                        "ตอนนี้ริเอะ... ตายแล้ว !" หญิงสาวสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ฟังสิ่งที่เด็กหนุ่มพูด

                        "ล...ล้อเล่นแรงไปหรือเปล่าวาตารุ" เสียงเธอสั่น หวังจะได้ยินจากปากเขาว่าแค่ล้อเล่น

                        "ไม่ได้ล้อเล่นหรอก  วันนั้น...วันเกิดของริเอะ  ที่ริเอะบอกว่าจะมาเดินเล่นที่นี่  บอกว่าจะมาคนเดียว  พวกผมเห็นว่าเป็นวันเกิดเลยอยากตามใจเธอ  แต่เธอก็ไม่กลับมาอีกเลย  เช้าวันรุ่งขึ้นถึงมีคนมาบอกว่าพบเธอ นอนตายอยู่บนม้านั่งนั่น พวกเราตกใจมากรู้มั้ย โดยเฉพาะผม  ผมไม่คิดเลยว่าจะมีเหตุการแบบนี้เกิดขึ้น"

                        ริเอะยกมือปิดหูสองข้าง เธอไม่อยากฟัง...ไม่อยากฟังสิ่งที่เขาเล่า ไม่อยากรับรู้  อยากจะออกไปจากที่นี่   
      วาตารุรับรู้ถึงความรู้สึกของเธอในตอนนี้จึงเงียบไปพักหนึ่ง
                        สักพักริเอะก็เงยหน้าขึ้นสูดหายใจเข้าเต็มปอดเหมือนจะเตรียมใจ แล้วพูดกับวาตารุ

                        "ฉันพร้อมจะฟังแล้ว เล่ามาต่อเถอะ"
                        วาตารุมองหน้าริเอะคล้ายไม่อยากจะเล่าต่อ  แต่เมื่อเห็นสายตาจริงจังของเธอ จึงจำต้องยอมเล่า

                        "ตอนเช้าวันที่ผมรู้เรื่องนี้ก็คือวันเดียวกับที่ผมมาเจอเธอที่นี่ หรือก็คือเมื่อคืนนั่นแหละ" วาตารุเงียบไป แล้วพูดต่อ

                        "ตอนที่มาเจอริเอะผมดีใจมาก คิดว่าเธอยังไม่ตาย เพราะผมไม่คิดจะเชื่อคน ๆ นั้นตั้งแต่แรกแล้ว แต่พอผมเห็นศพเธอเมื่อเช้า  ผมถึงได้รู้ว่าเขาพูดความจริง  รู้ว่าคนที่ผมเจอเป็นเพียงวิญญาณ"
                        "มีเรื่องหนึ่งที่ผมไม่เคยบอกริเอะ  ผมน่ะ มีสัมผัสในการมองเห็นวิญญาณ แล้วผมก็เคยเห็นอะไรทำนองนี้มาหลายครั้งแล้ว" วาตารุเงียบไปอีก
                        "แล้วทำไม... ทำไมไม่บอกฉันตั้งแต่ตอนที่เจอกันเมื่อวาน" ริเอะเอ่ยเสียงแผ่วเบา
                        "ก็ผมบอกแล้วไงว่าผมยังไม่เชื่อที่คน ๆ นั้นพูดน่ะ  แล้วอีกอย่างผมกลัวริเอะรับไม่ได้เลยไม่กล้าบอก" วาตารุก้มหน้านิ่ง
                        "ผมของถามอย่างหนึ่งได้ไหม  ทำไมริเอะยังมาวนเวียนอยู่ที่นี่อีก"

                        "ก็เพราะฉันถูกฆ่าน่ะสิ  แล้วฉันก็ยังมีเรื่องค้างคาใจที่ไม่ได้สะสางด้วย" เสียงหวานแผ่วเบา

                        "เรื่องค้างคาใจ ? เรื่องอะไรหรือครับ" วาตารุเอียงคอทำหน้าฉงน
                        "ไม่รู้ นึกไม่ออก" คำตอบของเธอทำเอาวาตารุแทบตกจากชิงช้า 'มีเรื่องค้างคาใจแต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร !!!'
                        "อ๊ะ  นึกออกแล้ว  คืองี้นะ..."  เสียงช่วงท้ายของเธอเบาลง  วาตารุเงี้ยหูฟังอย่างตั้งใจ
                        "ฉันน่ะ  ถูกฆาตกรรม  วิญญาณฉันจะยังอยู่ที่นี่ได้อีก 7  วันนับจากวันที่ตาย  ฉันออกไปจากที่นี่ไม่ได้"
                        "7 วัน นับจากวันที่ตาย งั้นตอนนี้ก็เหลืออีก 5 วันถ้าไม่นับวันนี้น่ะสิ !!" วาตารุมีสีหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อย
                        "ตกใจอะไรกัน  ยังเหลืออีกตั้ง 5 วันแน่ะ" ริเอะฝืนยิ้มและปรับน้ำเสียงให้ดูร่าเริง  แต่ในใจเธอกลับมีแต่ความเศร้าและเจ็บปวดเข้าครอบงำ
                        ขอบฟ้าเริ่มมีแสงอ่อน ๆ บอกให้รู้ว่าอีกไม่นานจะเช้า  วาตารุลุกขึ้นยืน เอ่ยกับริเอะ
                        "ผมคงต้องไปแล้ว  แล้วผมจะมาหาอีกนะ"
                        ทันทีที่ริเอะพยักหน้าตกลง เด็กหนุ่มก็หันหลังวิ่งกลับไป
                        หลังจากวันนั้น เด็กหนุ่มก็มาหาริเอะทุกวัน ที่เดิมเวลาเดิม  และอยู่ด้วยกันจนถึงเช้า  จนในที่สุดวันที่ทั้งคู่ไม่อยากให้มาถึงก็ได้มาถึงแล้ว  วันสุดท้ายที่ริเอะจะได้อยู่ที่นี่
                        เวลาล่วงเลยไปจนตะวันลับฟ้า  ริเอะยังคงนั่งอยู่ที่เดิม  รอการมาถึงของเด็กหนุ่มคนเดิม  ในใจยังคงคิดว่าเขาจะมาทันไหม  เธอจะได้เห็นเขาเป็นครั้งสุดท้ายหรือเปล่า  ถ้าเธอไปแล้วเขาจะมีความสุขไหม  เธอทำได้เพียงแค่รอ  แค่รอเท่านั้นจริง ๆ
                        ทางด้านวาตารุ วันนี้เขามีงานต้องสะสางที่โรงเรียนจึงทำให้กลับช้ากว่าปกติ  เขากำลังวิ่งกลับบ้านเพียงคนเดียวไปบนถนนที่มืดมิด  เขาต้องไปให้ทัน  ต้องไปให้ถึงก่อนที่เธอจะหายไป ก่อนที่เขาจะไม่ได้พบเธออีก  ด้วยความรีบร้อนเด็กหนุ่มจึงวิ่งข้ามถนนโดยไม่ได้ดูรถ  แสงไปหน้ารถส่องมาที่เขา ด้วยความตกใจเขาจึงหยุดชะงัก เสียงเบรกเอี๊ยดดังลั่น ตามด้วยเสียงโครม แล้วสติของเด็กหนุ่มก็ดับวูบ
                        ริเอะที่ยังคงเฝ้ารอการมาถึงของวาตารุยังคงนั่งรออยู่ที่เดิมด้วยใจที่กระวนกระวายกว่าเดิม เวลาล่วงเลยมามากแล้ว  อีกเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจะเที่ยงคืน  เวลาของเธอใกล้จะหมดลงแล้ว

                        แม่ของวาตารุนั่งสะอื้นอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ผู้เป็นพ่อที่เดินวนไปวนมาด้วยความกระวนกระวายจึงต้องเข้ามาปลอบ  และแล้วแพทย์ที่รักษาวาตารุก็ออกมาจากห้องนั้นด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
                        "คุณเป็นผู้ปกครองของเด็กที่ถูกรถชนใช่ไหมครับ" คุณหมอถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ
                        "ใช่ครับ  ทำไมหรือครับ"
                        "เสียใจด้วยนะครับ  ผมไม่สามารถช่วยเขาได้แล้ว"
                         เพียงได้ยินเท่านั้นผู้เป็นแม่ก็ปล่อยโฮหนักกว่าเดิม จนผู้เป็นพ่อต้องปลอบใจหนักเข้าไปอีกทั้งที่จิตใจตัวเองก็ปวดร้าวราวถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ  คุณหมอได้แต่มองภาพนั้นด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความเศร้าแต่ก็จนปัญญาจะช่วย
                        วาตารุมองสำรวจร่างกายที่โปร่งแสงของตนเอง  และมองร่างที่นอนทอดกายอยู่บนเตียงในห้องฉุกเฉินโดยไร้ลมหายใจ  เพียงเท่านั้นเขาก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด  แต่เขาไม่มีเวลามาเสียใจอะไรทั้งนั้น เพราะยังมีคนหนึ่งที่กำลังรอเขาอยู่
                         ร่างวิญญาณของวาตารุลอยล่องออกจากโรงพยาบาล ตรงไปยังที่หมายอย่างรวดเร็วเพื่อหวังให้ทันเวลา
                         ในขณะเดียวกันเวลาก็ยังคงหมุนไปเรื่อย ๆ อย่างไม่ยอมหยุด  อีกเพียงไม่กี่วินาทีจะถึงเที่ยงคืนแล้ว  ริเอะเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ไร้แสงจันทร์และแสงดาว เธอยังคงรอคอยเขาอยู่  เมื่อจะเริ่มสิ้นหวังก็ตามที พลันแสงสว่างก็สาดลงมาจากท้องฟ้า ส่องลงมายังตัวเธอ ร่างเธอที่เดิมทีก็โปร่งแสงอยู่แล้วยิ่งเลือนราง แสงที่ส่องลงมาเริ่มจางลงพร้อมกับร่างกายเธอที่ค่อย ๆ หายไป ร่างบางหลับตาปล่อยอารมณ์ทั้งหมดให้หายไปพร้อมกับอณูวิญญาณของเธอในที่สุดเธอก็ได้หายไป
                         วาตารุมาถึงสวนสาธารณะในเวลาเดียวกับแสงสว่างที่ดับวูบไป  เขามาไม่ทัน ไม่ทันได้เห็นริเอะก่อนที่เธอจะจากไป  เขาพลาดแล้ว เด็กหนุ่มทรุดลงนั่งคุกเข่ากับพื้น หยาดน้ำใส่เอ่อคลอเบ้าตา
                         "ริเอะ  ผมขอโทษ" น้ำตาใส่ ๆ ไหลลงมาเป็นสายอาบสองข้ามแก้ม น้ำเสียงที่เอ่อคำพูดออกมาสั่งเคลือ น้ำตาไหลหยดลงบนพื้น แม้มันจะเป็นหยดน้ำตาของดวงวิญญาณ แต่กลับทำให้พื้นเป็นรอยหยดน้ำได้ มันสะท้อนเอาความเศร้า เหงา และความเจ็บปวดออกมาจนหมด 
                         "ริเอะ !!!!!!!" วาตารุตะโกนก้องเพื่อระบายความอัดอั้นที่อยู่ในใจ ทั้งความทุกข์ เศร้า เหงา เจ็บปวด  แม้ว่าจะไม่มีใครได้ยิน  แต่มันก็สะท้อนก้องไปทั่วทั้งผืนดินผืนน้ำทั้งสามภพ แม้ว่าริเอะจะไม่รับรู้ถึงเสียงนี้ ไม่รับรู้ถึงความรู้สึกนี้ แต่เธอก็รับรู้ถึงความผูกพันธ์และความรักที่เขาและเธอมีให้กัน ถึงแม้มันจะเริ่มเกิดขึ้นไม่นานและจบลงไม่สวยงาม  แต่เธอมั่นใจว่ามันจะลงอยู่ตลอดไปชั่วนิรันดร์... ถึงเธอจะได้จากโลกนี้ไป... ตลอดกาล...
      _____________________________________________________________________
      จบบริบูรณ์

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×