สายลมเย็นเฉียบพัดผ่านความมืดยามรัตติกาล รอบบริเวณมีแต่ความมืดมิด ไร้สิ้นซึ่งสรรพเสียงใด ๆใบไม้เอนไหวตามแรงลมที่พัดผ่านมา เสียงใบไม้เสียดสีกันชวนให้รู้สึกขนลุก ยังเหมือนมีบางสิ่งที่อาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้อีก
เงาหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงม้านั่งตัวยาวใต้ต้นไม้ใหญ่ เงาต้นไม้ทาบลงบนหน้าเธอทำให้มองเห็นใบหน้าได้ไม่ชัดนัก เธอนั่งอยู่ที่นี่มาร่วม 3 ชั่วโมงแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เวลาเท่าไหร่และเธอก็ไม่ได้สนในด้วย
ไม่รู้อะไรดลใจให้เธอมาที่นี่และนั่งอยู่อย่างนี้ไม่คิดจะลุกไปไหน เธอนั่งเหม่อมองไปอย่างไร้จุดหมาย เหมือนกำลังรอใครหรือรออะไรบางอย่าง ในสวนสาธารณะที่มีแต่ความเงียบและมืดมิดแห่งนี้
'เอี๊ยด... เอี๊ยด...' เสียงโซ่ชิงช้าเสียดสีกับคานของมันดังขึ้นในความเงียบ หญิงสาวเงยหน้ามองมัน ครั้งแรกคิดว่าเป็นเพราะลมพัด แต่พอมองจริง ๆ มันกลับมีชิงช้าเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่แกว่งอยู่ ใบหน้าของเธอไม่ปรากฏร่องรอยของความหวาดกลัวเลยสักนิด ร่างบางลุกขึ้นยืน ย่างเท้าเปลือยเปล่าเข้าไปหาชิงช้าตัวนั้น ชุดกระโปรงสีขางบาง ๆ พริ้วไหวตามแรงขยับของเธอ เสียงของชิงช้าราวกับร่ำเรียกให้เธอเข้าไปหามัน ไม่นานร่างของเธอก็มาหยุดอยู่หน้าชิงช้าตัวนั้น
ร่างบางทิ้งกายลงนั่นชิงช้าตัวที่กำลังแกว่งอยู่ แล้วไกวมันเบา ๆ เหม่อมองออกไปไกลอย่างไร้จุดหมาย จมอยู่กับความคิดของตัวเองอีกครั้ง
"ริเอะ" เสียงเรียกแผ่วเบาดังมาจากข้างกาย เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบสายตาของเด็กหนุ่มจ้องมองกลับมา
"วาตารุ มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง" ร่างบางเอ่ยถามเสียงแผ่ว
"ผมต่างหากที่ควรจะถาม ดึกป่านนี้แล้วริเอะมาทำอะไรที่นี่" เด็กหนุ่มชื่อวาตารุทิ้งตัวลงนั่งชิงช้าตัวข้าง ๆ
"ไม่รู้สิ แค่รู้สึกว่าต้องมาก็เลยมา" เธอตอบ ไม่มองหน้าเขา
เด็กหนุ่มเอื้อมมือมาวางลงบนมือเธอเบา ๆ เธอไม่รู้สึก ไม่รู้สึกถึงสัมผัสของเขาเลย เขาเองก็เหมือนกัน ไม่รู้สึกถึงหญิงสาวข้างกาย
ตลอดคืนนั้นไม่มีใครพูดอะไรอีกเลย ทั้งคู่นั่งไกวชิงช้าปล่อยให้ความเงียบดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ปล่อยตัวเองให้จมไปกับห้วงความคิดของตัวเอง จนกระทั่งรุ่งอรุณได้มาเยือน
"อา.. ผมคงต้องไปแล้วล่ะ ความจริงอยากจะอยู่ต่ออีกหน่อยแต่คงไม่ได้" วาตารุลุกจากชิงช้าหันมามองริเอะ
"จะไปแล้วเหรอ" ริเอะถามอย่างไม่ต้องการคำตอบเพราะรู้ดีว่าเขาจะตอบว่าอะไร
"อืม คืนนี้ริเอะมาที่นี่อีกนะ แล้วผมจะมาหา" วาตารุยิ้มให้แล้วหันหลังเดินออกไปจากสวนสาธารณะ
ริเอะมองตามแผ่นหลังของเขาจนลับสายตา
ช่วงกลางวันที่สวนสาธารณะแห่งนี้จะมีคนมาค่อยข้างมาก ริเอะกลับไปนั่งที่มานั่งตัวเดิม ไม่คิดจะลุกไปไหน น่าแปลกที่ม้านั่งตัวที่เธอนั่งออกจะยาวและมีที่นั่งเหลือพอที่จะนั่งได้อีกสักคนสองคน แต่กลับไม่มีใครมานั่งข้างเธอเลยสักคน อาจเพราะเธอดูแปลก ๆ หรืออาจเพราะเหตุผลอื่น
ไม่ว่าจะเป็นอะไรเธอก็ไม่ได้คิดจะใส่ใจ เธอเพียงแค่รอเวลาให้กลางคืนมาถึงเสียที
ในที่สุดตะวันก็ลับของฟ้า ราตรีกาลมาเยือนอีกครั้ง หญิงสาวยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เธอรอเขาอยู่.. เวลาล่วงเลยมานานมากแล้วแต่เขาก็ยังไม่มาให้เธอเห็น ในใจเธอยังคงคิดว่าเขาจะมาหาเธอไหม
"ริเอะ ริเอะอยู่ไหม ?" ในที่สุดร่างคนที่เธอรอก็มาปรากฏแก่สายตา เขาเดินวนแถว ๆ ชิงช้าตัวที่เธอนั่งเมื่อคืนวาน เธอลุกขึ้นวิ่งเหยาะ ๆ ไปหาเขา
"นึกว่าไม่อยู่ซะอีก" วาตารุยิ้มให้เมื่อเห็นเธอ ริเอะนึกสงสัยกับคำที่เขาพูด 'ทำไมเขาถึงบอกว่า นึกว่าไม่อยู่ แทนที่จะเป็นนึกว่าไม่มาเล่า' เธอได้แต่คิดในใจ
"นั่งก่อนสิ" เขาทิ้งตัวนั่งลงตรงชิงช้าตัวเดิม เธอจึงนั่งบ้าง
วาตารุนั่งก้มหน้าคล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่าง
"ขอโทดษนะริเอะ ขอโทษที่ช่วยเธอไม่ได้" วาตารุเอ่ยน้ำเสียงสั่นเครือ เพราะเขาก้มหน้าอยู่เธอจึงมองไม่ถนัด
"ช่วย ? ช่วยอะไร" หญิงสาวเอียงคอมองอย่างสงสัย
"ถ้าวันนั้นผมไม่ปล่อยให้เธอออกมาที่นี่คนเดียวเรื่องมันก็คงไม่เป็นแบบนี้" เด็กหนุ่มยังคงพูดในสิ่งที่เธอไม่เข้าใจ
"พูดถึงอะไร ? ช่วยบอกให้ชัดเจนทีเถอะ" ริเอะขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจ
"ริเอะใจเย็น ๆ แล้วตั้งใจฟังผมพูดนะ" วาตารุมองเข้ามาในดวงตาของเธอ ด้วยสายตาที่เหมือนไม่แน่ใจว่าจะบอกดีไหม
"ตอนนี้ริเอะ... ตายแล้ว !" หญิงสาวสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ฟังสิ่งที่เด็กหนุ่มพูด
"ล...ล้อเล่นแรงไปหรือเปล่าวาตารุ" เสียงเธอสั่น หวังจะได้ยินจากปากเขาว่าแค่ล้อเล่น
"ไม่ได้ล้อเล่นหรอก วันนั้น...วันเกิดของริเอะ ที่ริเอะบอกว่าจะมาเดินเล่นที่นี่ บอกว่าจะมาคนเดียว พวกผมเห็นว่าเป็นวันเกิดเลยอยากตามใจเธอ แต่เธอก็ไม่กลับมาอีกเลย เช้าวันรุ่งขึ้นถึงมีคนมาบอกว่าพบเธอ นอนตายอยู่บนม้านั่งนั่น พวกเราตกใจมากรู้มั้ย โดยเฉพาะผม ผมไม่คิดเลยว่าจะมีเหตุการแบบนี้เกิดขึ้น"
ริเอะยกมือปิดหูสองข้าง เธอไม่อยากฟัง...ไม่อยากฟังสิ่งที่เขาเล่า ไม่อยากรับรู้ อยากจะออกไปจากที่นี่
วาตารุรับรู้ถึงความรู้สึกของเธอในตอนนี้จึงเงียบไปพักหนึ่ง
สักพักริเอะก็เงยหน้าขึ้นสูดหายใจเข้าเต็มปอดเหมือนจะเตรียมใจ แล้วพูดกับวาตารุ
"ฉันพร้อมจะฟังแล้ว เล่ามาต่อเถอะ"
วาตารุมองหน้าริเอะคล้ายไม่อยากจะเล่าต่อ แต่เมื่อเห็นสายตาจริงจังของเธอ จึงจำต้องยอมเล่า
"ตอนเช้าวันที่ผมรู้เรื่องนี้ก็คือวันเดียวกับที่ผมมาเจอเธอที่นี่ หรือก็คือเมื่อคืนนั่นแหละ" วาตารุเงียบไป แล้วพูดต่อ
"ตอนที่มาเจอริเอะผมดีใจมาก คิดว่าเธอยังไม่ตาย เพราะผมไม่คิดจะเชื่อคน ๆ นั้นตั้งแต่แรกแล้ว แต่พอผมเห็นศพเธอเมื่อเช้า ผมถึงได้รู้ว่าเขาพูดความจริง รู้ว่าคนที่ผมเจอเป็นเพียงวิญญาณ"
"มีเรื่องหนึ่งที่ผมไม่เคยบอกริเอะ ผมน่ะ มีสัมผัสในการมองเห็นวิญญาณ แล้วผมก็เคยเห็นอะไรทำนองนี้มาหลายครั้งแล้ว" วาตารุเงียบไปอีก
"แล้วทำไม... ทำไมไม่บอกฉันตั้งแต่ตอนที่เจอกันเมื่อวาน" ริเอะเอ่ยเสียงแผ่วเบา
"ก็ผมบอกแล้วไงว่าผมยังไม่เชื่อที่คน ๆ นั้นพูดน่ะ แล้วอีกอย่างผมกลัวริเอะรับไม่ได้เลยไม่กล้าบอก" วาตารุก้มหน้านิ่ง
"ผมของถามอย่างหนึ่งได้ไหม ทำไมริเอะยังมาวนเวียนอยู่ที่นี่อีก"
"ก็เพราะฉันถูกฆ่าน่ะสิ แล้วฉันก็ยังมีเรื่องค้างคาใจที่ไม่ได้สะสางด้วย" เสียงหวานแผ่วเบา
"เรื่องค้างคาใจ ? เรื่องอะไรหรือครับ" วาตารุเอียงคอทำหน้าฉงน
"ไม่รู้ นึกไม่ออก" คำตอบของเธอทำเอาวาตารุแทบตกจากชิงช้า 'มีเรื่องค้างคาใจแต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร !!!'
"อ๊ะ นึกออกแล้ว คืองี้นะ..." เสียงช่วงท้ายของเธอเบาลง วาตารุเงี้ยหูฟังอย่างตั้งใจ
"ฉันน่ะ ถูกฆาตกรรม วิญญาณฉันจะยังอยู่ที่นี่ได้อีก 7 วันนับจากวันที่ตาย ฉันออกไปจากที่นี่ไม่ได้"
"7 วัน นับจากวันที่ตาย งั้นตอนนี้ก็เหลืออีก 5 วันถ้าไม่นับวันนี้น่ะสิ !!" วาตารุมีสีหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อย
"ตกใจอะไรกัน ยังเหลืออีกตั้ง 5 วันแน่ะ" ริเอะฝืนยิ้มและปรับน้ำเสียงให้ดูร่าเริง แต่ในใจเธอกลับมีแต่ความเศร้าและเจ็บปวดเข้าครอบงำ
ขอบฟ้าเริ่มมีแสงอ่อน ๆ บอกให้รู้ว่าอีกไม่นานจะเช้า วาตารุลุกขึ้นยืน เอ่ยกับริเอะ
"ผมคงต้องไปแล้ว แล้วผมจะมาหาอีกนะ"
ทันทีที่ริเอะพยักหน้าตกลง เด็กหนุ่มก็หันหลังวิ่งกลับไป
หลังจากวันนั้น เด็กหนุ่มก็มาหาริเอะทุกวัน ที่เดิมเวลาเดิม และอยู่ด้วยกันจนถึงเช้า จนในที่สุดวันที่ทั้งคู่ไม่อยากให้มาถึงก็ได้มาถึงแล้ว วันสุดท้ายที่ริเอะจะได้อยู่ที่นี่
เวลาล่วงเลยไปจนตะวันลับฟ้า ริเอะยังคงนั่งอยู่ที่เดิม รอการมาถึงของเด็กหนุ่มคนเดิม ในใจยังคงคิดว่าเขาจะมาทันไหม เธอจะได้เห็นเขาเป็นครั้งสุดท้ายหรือเปล่า ถ้าเธอไปแล้วเขาจะมีความสุขไหม เธอทำได้เพียงแค่รอ แค่รอเท่านั้นจริง ๆ
ทางด้านวาตารุ วันนี้เขามีงานต้องสะสางที่โรงเรียนจึงทำให้กลับช้ากว่าปกติ เขากำลังวิ่งกลับบ้านเพียงคนเดียวไปบนถนนที่มืดมิด เขาต้องไปให้ทัน ต้องไปให้ถึงก่อนที่เธอจะหายไป ก่อนที่เขาจะไม่ได้พบเธออีก ด้วยความรีบร้อนเด็กหนุ่มจึงวิ่งข้ามถนนโดยไม่ได้ดูรถ แสงไปหน้ารถส่องมาที่เขา ด้วยความตกใจเขาจึงหยุดชะงัก เสียงเบรกเอี๊ยดดังลั่น ตามด้วยเสียงโครม แล้วสติของเด็กหนุ่มก็ดับวูบ
ริเอะที่ยังคงเฝ้ารอการมาถึงของวาตารุยังคงนั่งรออยู่ที่เดิมด้วยใจที่กระวนกระวายกว่าเดิม เวลาล่วงเลยมามากแล้ว อีกเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจะเที่ยงคืน เวลาของเธอใกล้จะหมดลงแล้ว
แม่ของวาตารุนั่งสะอื้นอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ผู้เป็นพ่อที่เดินวนไปวนมาด้วยความกระวนกระวายจึงต้องเข้ามาปลอบ และแล้วแพทย์ที่รักษาวาตารุก็ออกมาจากห้องนั้นด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
"คุณเป็นผู้ปกครองของเด็กที่ถูกรถชนใช่ไหมครับ" คุณหมอถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ
"ใช่ครับ ทำไมหรือครับ"
"เสียใจด้วยนะครับ ผมไม่สามารถช่วยเขาได้แล้ว"
เพียงได้ยินเท่านั้นผู้เป็นแม่ก็ปล่อยโฮหนักกว่าเดิม จนผู้เป็นพ่อต้องปลอบใจหนักเข้าไปอีกทั้งที่จิตใจตัวเองก็ปวดร้าวราวถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ คุณหมอได้แต่มองภาพนั้นด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความเศร้าแต่ก็จนปัญญาจะช่วย
วาตารุมองสำรวจร่างกายที่โปร่งแสงของตนเอง และมองร่างที่นอนทอดกายอยู่บนเตียงในห้องฉุกเฉินโดยไร้ลมหายใจ เพียงเท่านั้นเขาก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด แต่เขาไม่มีเวลามาเสียใจอะไรทั้งนั้น เพราะยังมีคนหนึ่งที่กำลังรอเขาอยู่
ร่างวิญญาณของวาตารุลอยล่องออกจากโรงพยาบาล ตรงไปยังที่หมายอย่างรวดเร็วเพื่อหวังให้ทันเวลา
ในขณะเดียวกันเวลาก็ยังคงหมุนไปเรื่อย ๆ อย่างไม่ยอมหยุด อีกเพียงไม่กี่วินาทีจะถึงเที่ยงคืนแล้ว ริเอะเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ไร้แสงจันทร์และแสงดาว เธอยังคงรอคอยเขาอยู่ เมื่อจะเริ่มสิ้นหวังก็ตามที พลันแสงสว่างก็สาดลงมาจากท้องฟ้า ส่องลงมายังตัวเธอ ร่างเธอที่เดิมทีก็โปร่งแสงอยู่แล้วยิ่งเลือนราง แสงที่ส่องลงมาเริ่มจางลงพร้อมกับร่างกายเธอที่ค่อย ๆ หายไป ร่างบางหลับตาปล่อยอารมณ์ทั้งหมดให้หายไปพร้อมกับอณูวิญญาณของเธอในที่สุดเธอก็ได้หายไป
วาตารุมาถึงสวนสาธารณะในเวลาเดียวกับแสงสว่างที่ดับวูบไป เขามาไม่ทัน ไม่ทันได้เห็นริเอะก่อนที่เธอจะจากไป เขาพลาดแล้ว เด็กหนุ่มทรุดลงนั่งคุกเข่ากับพื้น หยาดน้ำใส่เอ่อคลอเบ้าตา
"ริเอะ ผมขอโทษ" น้ำตาใส่ ๆ ไหลลงมาเป็นสายอาบสองข้ามแก้ม น้ำเสียงที่เอ่อคำพูดออกมาสั่งเคลือ น้ำตาไหลหยดลงบนพื้น แม้มันจะเป็นหยดน้ำตาของดวงวิญญาณ แต่กลับทำให้พื้นเป็นรอยหยดน้ำได้ มันสะท้อนเอาความเศร้า เหงา และความเจ็บปวดออกมาจนหมด
"ริเอะ !!!!!!!" วาตารุตะโกนก้องเพื่อระบายความอัดอั้นที่อยู่ในใจ ทั้งความทุกข์ เศร้า เหงา เจ็บปวด แม้ว่าจะไม่มีใครได้ยิน แต่มันก็สะท้อนก้องไปทั่วทั้งผืนดินผืนน้ำทั้งสามภพ แม้ว่าริเอะจะไม่รับรู้ถึงเสียงนี้ ไม่รับรู้ถึงความรู้สึกนี้ แต่เธอก็รับรู้ถึงความผูกพันธ์และความรักที่เขาและเธอมีให้กัน ถึงแม้มันจะเริ่มเกิดขึ้นไม่นานและจบลงไม่สวยงาม แต่เธอมั่นใจว่ามันจะลงอยู่ตลอดไปชั่วนิรันดร์... ถึงเธอจะได้จากโลกนี้ไป... ตลอดกาล...
_____________________________________________________________________
จบบริบูรณ์
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น